รักแปลกๆของเราสองคน(นทแอป 67)
บางทีรักก็แปลกๆน่ะว่าไหม แต่มันจะสำคัญอะไร แค่รักกันก็พอแล้วนิ เน๊าะ!
ผู้เข้าชมรวม
1,756
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“นท แกอยู่ไหนเนี่ย”เสียงพี่จูเนียร์กรอกมาตามสายโทรศัพท์ ฉันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบกลับไปด้วยเสียงเหนื่อยๆ
“อยู่ร้านหนังสือไง”
“นี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้วน้ะ รีบกลับบ้านได้แล้ว”
“รู้แล้วๆๆ”
ฉันบอกปัดอีกคนก่อนจะกดตัดสายทิ้ง
เรื่องไรจะรีบกลับอ้ะ ร้านหนังสือปิดตั้ง4ทุ่มมีเวลาอ่านหนังสือฟรีอีกถมเถ :P
สายตาของฉันสอดส่ายหาหนังสือลอกแลก ริมฝีปากยกยิ้มกริ่มขึ้นน้อยๆเมื่อพบเล่มที่ถูกใจ สองขาก้าวตรงไปยังเป้าหมายทันที
“อ๊ะ!”
“อ๊ะ!”
แรงกระแทกเบาๆถูกส่งมาทางด้านข้างของลำตัว ฉันเซถลาล้มลงนั่งกับพื้นก่อนจะเงยหน้ามองผู้กระทำผิดทันที
“คุณชนฉันทำไมอ้ะ?”
ยังไม่ทันได้เปิดปากว่าอะไร อีกฝ่ายที่ดูจะตัวสูง ขาวและขายาวกว่าฉันก็เปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
หนอย เธอนั้นแหละชนฉันน่ะ
“ใครชน เธอนั้นแหละชน”
เหมือนมีประกายไฟฟ้าส่งออกมาจากดวงตาของเราสองคนดังเปรี้ยะ!
สายตาของเราจ้องมองกันอย่างไม่ลดล้ะ ก่อนจะเชิ่ดไปคนละทาง
เช๊อะ!!
ฉันเมินหน้าเดินหนีออกมาอีกทาง สองขาก้าวมายังหนังสือที่เล็งเอาไว้ในตอนแรก ลมหายใจถูกถอดถอนออกมาอย่างอารมณ์เสีย
เหอะ อุตส่าห์อารมณ์ดีอยู่แท้ๆ ไม่น่าเจอเธอเลยจริงๆ
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดชวนหงุดหงิดออกไปเล็กน้อยก่อนจะปรับเปลี่ยนโหมดอารมณ์ของตัวเองให้กลับเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการอีกครั้ง
อ๊าาา หนังสือที่รัก
มือเรียวบางค่อยๆดึงหนังสืออกมาจากชั้นเพียงเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มอย่างหลงใหล
เอ๊ะ!....ดะ
.ดึงไม่ออก
จากที่ค่อยๆถะนุถนอมหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาทีละน้อยเริ่มกลับกลายเป็นกระชากแทนซะแล้วในตอนนี้
-__-+ ไม่ออกใช่ไหม
“ย้ากกกกกก!”
“เหวอออออ”
ช่างเหมือนฉากตลกในละครน้ำเน่า
ทันทีที่ฉันรวบรวมพลังภายในเหมือนที่พระเอกหนังจีนชอบทำกันบ่อยๆนั้นเพื่อดึงหนังสือออกจากชั้น ไอ้เจ้าหนังสือบ้าตัวแสบก็ดันหลุดง่ายออกมาเสียเฉยๆทำให้คนตัวเล็กๆอย่างฉันหงายหลังตึงไปนอนโชว์พุงอยู่กับพื้นเลยทีเดียว
เอ้ยๆๆ ไม่ใช่สิ โชว์ซิกแพคต่างหาก
สายตาจากคนรอบข้างจับจ้องมาที่ฉัน สองขาและสองแขนค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นพลางก้มขอโทษขอโพยคนในร้านก่อนจะหันไปมองเจ้าหนังสือตัวดี
หนอย เดี๋ยวเถอะ จะจับฉีกตรงนี้เลยนิ
ฉันกัดฟันกรอดอย่างเครียดแค้น ตั้งใจจะยัดหนังสือกลับเข้าไปที่เดิม ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นใครอีกคนจากอีกฝั่งซะก่อนล้ะน่ะ
นั้นมัน...ยัยปากร้ายคนเมื่อกี้นิน่า
โห้ เมื่อกี้มัวแต่ทะเลาะกันเลยไม่ทันสังเกตุ
สวยยังงี้เลยเหรอ
ว้าวววว
การกระทำของฉันชะงักค้างกลางอากาศ สายตาจับจ้องไปยังคนอีกฝั่งอย่างตะลึงก่อนจะสะบัดหัวเองเล็กน้อย
ท่าจะบ้าน่ะเราเนี่ย
ฉันคิดพลางยกยิ้มขึ้น อารมณ์ของตัวเองถูกเปลี่ยนโหมดมาเป็นอารมณ์ดีอีกครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่าสวยๆแบบนี้จะปากร้ายใช่เล่น
ฉันเก็บยัดหนังสือเข้าทีเดิม แต่คราวนี้เหลือช่องว่างระหว่างชั้นไว้เพียงเล็กน้อยพอให้เห็นร่างเรียวบางที่กำลังพิงหลังกับชั้นหนังสือในมือพลิกเปิดหน้ากระดาษเสียงดังแผ่วเบา
“ตึง ตึ่ง ตึ้ง ขออภัยค่ะอีก10นาทีทางร้านเราจะปิดบริการแล้วค่ะ”
ห้ะ!!!!
ฉันยกแขนขึ้นดูนาฬิกา
อ้าวเห้ย 4ทุ่มได้่ไงว่ะ
ไม่คิดว่าตัวเองจะแอบมองใครบางคนที่แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จักแถมยังเพิ่งมีเรื่องทะเลาะกันมาอีกด้วยได้นานขนาดนี้
ฉันก้าวขาออกจากร้าน ฝนข้างนอกตกพร่ำๆแต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกมีความสุข
สายฝน วันนี้นทมีความสุขจังเลย
ไม่รู้ว่าความสุขมันเกิดจากการได้อ่านหนังสือที่ตัวเองชอบหรือการได้เจอเธอคนนั้นกันแน่...
ทั้งๆที่คิดว่าไม่น่าเจอกันเลยแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้ฉันยังยิ้มไม่หุบ
สายฝน มีความสุขจังเลยค่าาาาา
..........................................
“ไปแล้วๆๆ”
ฉันกดตัดสายโทรศัพท์ทิ้งอีกครั้ง พลางวิ่งเต็มฝีเท้า
ไม่น่าตื่นสายเลยเรา
ฉันส่ายหัวกับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเข้าขบวนรถไฟฟ้าที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบชานชลา
เฮ้อออ ทันพอดี
เสียงสัญญาณปิดประตูดังขึ้นเฉียดฉิวกับร่างน้อยๆของฉันปลิวเข้ามาในขบวนรถ
ฉันเบียดแทรกร่างกายอันกระจิดริ๊ดของตัวเองเข้าไปยังมุมสุดของขบวน
แหม วันนี้คนเยอะจริงๆ
ฉันมองไปรอบๆพลางอ้าปากหาว
ไม่ต้องแปลกใจไปค่ะ ที่คนนอนตื่นสายเป็นประจำอย่างฉัน วันนี้ถึงได้ตื่นเช้าตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
ถ้าไม่ติดคุยงานกับพี่หนวดที่บริษัทล่ะก็ คงไม่มีทางลากสังขารตัวเองขึ้นจากที่นอนเป็นแน่แท้
แต่ที่ทำให้ต้องรีบหัวซุกหัวซุนเข้าไปใหญ่ก็ตรงที่....ชอบนอนตื่นสายยังไงก็ยังตื่นสายยังงั้นนี้แหละค่ะจวนจะไปไม่ทันอยู่แล้วเนี่ย >_<
นี้ก็อีกไม่กี่นาทีก็จะประชุมกันแล้วฉันเองก็ยังไม่รู้เลยล่ะค่ะว่าตัวเองจะไปทันไหม
สาธุ ขอให้ทันทีเถอะ
ประตูรถไฟฟ้าเปิดออกอีกครั้งที่จอดเทียบสถานนีถัดมา ร่างกายของผู้คนวัยทำงานเบียดเสียดเข้ามายังในขบวนแน่น จนฉันเกือบจะหายใจไม่ออกตาย
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยย”
ว่าแล้วว่าต้องเกิดเรื่อง
ฉันยืนอยู่ของฉันอยู่ดีๆก็มีไอ้บ้าหน้าไหนก็ไม่รู้วิ่งเข้ามาเหยีบเท้าฉันเต็มแรง เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้สายตาจากคนทั้งขบวนจับจ้องมายังฉัน...
“ขอโทษค่ะๆ”
อีกฝ่ายกล่าวขอโทษฉันอย่างรู้สึกผิด ฉันพยักหน้ารับไปส่งๆไม่แม้แต่จะหันไปมองริมฝีปากขบเม้มกันแน่อย่างกำลังกล้ำกลืนฝืนน้ำตาที่เริ่มจะไหลออกมาทีละน้อย
เจ็บบบบบบ ส้นเข็มอีกต่างหาก
กึกกัก กึกกัก
เสียงกึกกักขณะเคลื่อนตัวของรถไฟฟ้าดังขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว ขบวนรถไฟหักเลี้ยวโค้งอย่างรวดเร็วจนทำให้คนทั้งคันรถแทบจะเซคม่ำล้มลงมากองอยู่กับพื้น
พลั่ก
ยังไม่ทันหายเจ็บดี คนที่เพิ่งประทุษร้ายฉันเมื่อกี้นั้นก็โถมตัวล้มลงมาทับฉันอีกระลอก
เห้ย!!!!!
ฉันประคองเธอเอาไว้หลวมๆความรู้สึกคุ้นชินอย่างประหลาดแทรกผ่านผิวกายของเราทั้งสองจนฉันลืมเรื่องที่กำลังเจ็บเท้าอยู่เมื่อกี้ไปเสียสนิท
เธอเงยหน้าขึ้นน้อยๆ สายตาช้อนสบกับฉันอย่างแผ่วเบา
ยังกับพระเอกนางเอกในนิยาย
“เห้ย!”
“เห้ย!”
จริงๆด้วยยย
ก็ว่าแล้วว่าคนตรงหน้า มันออกจะหน้าคุ้นเกินไปหน่อย ทีแท้ก็ยัยปากเสียที่ร้านหนังสือเมื่อ2อาทิตย์ก่อนนั้นเอง
ดูท่าว่าฝ่ายนั้นก็จะจำฉันได้เหมือนกัน เธอมองหน้าฉันปริบๆพลางอ้าปากเหวอ
“ยัยเตี้ย”
“ยัยปากหมา”
คำพูดของเราหลุดออกมาพร้อมๆกัน แต่เอ๊ะ!! -_____________-
เมื่อกี้ เรียกฉันว่าไรน่ะ? หนอยยย
ฉันกัดริมฝีปากดังกรอดก่อนจะดันอีกคนออกไปให้พ้นๆตัว
ใบหน้าของเราทั้งคู่เชิ่ดขึ้นพร้อมกันๆทันทีที่ร่างเราทั้งสองเป็นอิสระจากอีกฝ่าย ต่างคนต่างเมินไปคนละทางเลยทีเดียว
กึกกัก กึกกัก
แรงเหวี่ยงเกิดขึ้นอีกครั้งทำให้คนที่ยื่นเชิ่ดนิ่งตรงหน้าฉันเซคม่ำลงมาอีกรอบ
คราวนี้เธอเอื้อมมือขึ้นมายันร่างตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม...
ก็ดีน่ะ ที่ไม่ล้มทับฉันอีก...
แต่...
หน้าใกล้กันขนาดนี้ให้ฉันหัวใจวายตายแทนเถอะ
อาจจะเพราะเรายืนอยู่ใกล้กันมากเกินไป เธอจึงใช้แขนของตัวเองค้ำยันร่างของเธอไว้ มันก็ไม่ผิดอะไรหรอกถ้าไม่ติดตรงที่ว่า แขนทั้งสองของเธอตอนนี้มันมีหน้าฉันวางอยู่ตรงกลางเนี่ยสิ!!!
ใบหน้าของยัยปากหมาโน้มเข้ามาใกล้มากขึ้น ฉันอยากจะหลับตาปี๋เสียตรงนั้น แต่ไม่รู้ทำไมเปลือกตาถึงไม่มีสัญญาณว่าจะปิดลงเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของร่างสูงเบียดเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ฉันก็ไม่คิดจะถอยหนีแต่อย่างใด
ความรู้สึกประหลาดๆในใจกลับดังขึ้นมาขัดกับความคิด
‘เข้ามาอีกสิ ฉันรออยู่นี่ไง เข้ามาอีก ใกล้อีก’
ไม่ได้รู้สึกแย่แต่กลับพอใจอย่างประหลาด พอใจที่ได้อยู่ใกล้กัน
เห้ยยยยย นี้เรากำลังไปทำงานสายนี่หว่า
..........................................
“นท วันนี้มีเด็กฝึกงานใหม่ เดี๋ยวจะให้มาฝึกกับนทน่ะ”
“เด็กใหม่?”
“ใช่ เขาจะมาเป็นผู้จัดการของนท แทนคนเก่าที่ลาพักร้อนไปก่อนชั่วคราว”
ฉันยื่นนิ่งวางมาดอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง รอรับผู้จัดการคนใหม่
แฮะๆ เก๊กขรึมไว้ก่อน เดี๋ยวจะใช้งานให้หนักเลย คิกคิก
“ขอโทษค่ะ”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจนฉันต้องรีบเงียบเสียงหัวเราะคิกคักของตัวเองลง ตีสีหน้าเรยบนิ่งพลางยื่นตรงแด่ว
“เชิญนั่ง”
ฉันพูดทั้งๆที่ยังยืนหันหลังให่ผู้มาใหม่ก่อนจะค่อยๆหมุนตัวกลับไปช้าๆราวกับพระเอกกังฟูหล่อๆในหนัง
ถ้ามีเพลงประกอบหนังเรื่องเซี่ยงไฮ้น้ะ โคตรแจ่มเลย
“เห้ย!!!!!!!”
“เห้ย!!!!!!!”
“ยัยเตี้ย”
“ยัยปากหมา”
7เดือนต่อมา
“นิ ยัยปากหมา คิวงานต่อไปน่ะกี่โมง”
มาจนถึงตอนนี้ ยัยปากหมาที่เจอกันครั้งแรกที่ร้านหนังสือก็กลับกลายมาเป็นผู้จัดการคนสนิทของฉันแล้วค่ะ
“ตอนเที่ยง นิ! ยัยเตี้ย ฉันมีชื่อน่ะ”
ไม่รู้ว่าเวลามันหมุนผ่านไปเร็วแค่ไหนแต่รู้อีกทีเธอก็ได้รับเป็นผู้จัดการฉันถาวรไปซะแล้ว
“ก็ไม่อยากเรียกอ้ะ”
แปลกน่ะ ตรงที่ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ฉันกับยัยปากหมานั้นก็ไม่เคยจะพูดกันดีๆเลยซักครั้ง
“ขอให้เตี้ยตลอดชาติเถอะ สาธุ”
แต่ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ... ฉันกลับรู้สึกแอบชอบเธอลึกๆ
“ขอให้ตัวยาวยิ่งกว่าเสาเคารพธงชาติเถอะ สาธุ”
ลึกมากจนบางทีก็หาไม่เจอน่ะน้ะ
“ไอ้....”
แต่ว่าน้ะ... ฉันว่านี่มันคือความรักล้ะ
“จะบอกว่า ไอ้น่ารักใช่ไหมล่ะ”
ความรักที่ถึงแม้จะแปลกไปซักหน่อย..แต่ก็...
“เออ!!!”
รักอ้ะน่ะ
ที่บ้าน
และแปลกยิ่งไปกว่าทั้งหมดทั้งมวลคือ ไอ้ผู้จัดการแสนสวยของฉันมันดันย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันค่ะ
“นท กินข้าว” น้ำเสียงของเธอตะโกนมาจากด้านล่างฉันสะบัดหัวเล็กน้อยอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะกระแทกเท้าปึงปังลงไปยังห้องอาหาร
คนกำลังดูชินจังอยู่ ขัดใจจริงๆเลย
“สั่งอย่างกับแม่เลยน้ะ ยัยปากหมา”
“ไอ้...”
ฉันยกมือขึ้นปิดปากอีกคนพลางหัวเราะคิกคัก อารมณ์แจ่มใสขึ้นมาทันที
สงสัยบางทีฉันอาจจะต้องไปเช็คสมองหน่อยแล้วล่ะ เพราะทะเลาะกับคนๆนี้ทีไรแล้วฉันยิ้มได้ทุกที
“เชอะ!”
ร่างสูงสะบัดหน้าไปอีกทาง ในขณะที่ฉันได้แต่ยิ้มแก้มปริอยู่ในใจ
บางทีโลกเรามันก็หมุนอย่างประหลาด คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอะเจอกันอีกกลับกลายมาเป็นบุคคลที่กำลังสานสัมพันลึกอันแน่แฟ้น คนที่ไม่คิดว่าจะมีความรู้สึกดีๆให้กันในวันนี้กลับกลายเป็นทุ่มให้เขาไปทั้งใจ คนที่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นคนรัก ในวันนี้กลับกลายเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด
บางทีโลกอาจจะเหวี่ยงให้เรามาเจอกัน...
และบางครั้ง ความบังเอิญกับพรหมลิขิต ก็มีความหมายไม่ต่างกันเท่าไรหรอก
..........................................
“วันนี้ยัยปากหมาไปไหนเหรอค่ะ”
“อ้าว นท นี้นทไม่รู้เหรอ แอปเขาไปเป็นผู้จัดการให้พี่เนสแล้วน่ะ”
“ได้ไงอ้ะพี่ ก็ยัยนั้นเป็นผู้จัดการนทนี่”
“ทางต้นสังกัดเขาสั่งมาน่ะ เห็นบอกว่าเนสอยากได้แอปเป็นผู้จัดการมาก”
วะ...ว่าไงน้ะ
ฉันก้าวเข้าไปในห้องซ้อมเต้นที่คาดว่าน่าจะมีพี่เนสอยู่ในนั้น
และก็คิดเหมือนกันว่า ร่างสูงก็คงจะอยู่ด้วย
“พี่เนส!!!!”
สายตาจากบรรดาทุกคนในห้องจับจ้องมาที่ฉัน หากเป็นก่อนหน้านี้ฉันอาจจะก้มหน้าหงุดพลางขอโทษขอโพย แต่ตอนนี้อารมณ์โมโหอยู่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด
“ไอ้พี่เนส ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้น่ะ”
ฉันชี้หน้าไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ยัยปากหมาจนน่าหงุดหงิดตา
เนสเขวี้ยงผ้าเช็ดเหงื่อลงกับพื้นก่อนจะก้าวเท้ามายืนประจันหน้ากับฉัน
“มีอะไร?”
“เอาคนของนทคืนมา”
“ใคร”
“ยัยนั้นไง”
“แอปน่ะเหรอ?”
“ใช่”
“ไม่ให้!”
เส้นความอดทนเส้นสุดท้ายขาดผึ่ง!
ฉันเงื้อมือขึ้นซัดหน้าอีกคนเข้าไปเต็มแรง
“โอ้ยยยย”
ไม่ใช่เสียงร้องของพี่เนสหรอกค่ะ แต่เป็นของฉันนี่แหละ
“โห้ พี่เนส นี้พี่แกล้งทำหน้าให้มันแข็งใช่่ไหม ฉันถึงต่อยพี่แล้วเจ็บแบบนี้น่ะ”
ใบหน้าเนสเพียงแค่ขยับไปตามแรงต่อยอันน้อยนิดของฉันเพียงแผ่วเบาก่อนจะหันกลับมาดังเดิม
รอยยิ้มของฝ่ายนั้นยกขึ้นอย่างเยาะเย้ย ฉันกัดฟันกรอดแน่น
“เอายัยนั้นคืนมาน่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ให้ไง!”
“เห้ย อยากตายเหรอว่ะพี่เนส!”
“เอาดิ่ ถ้าแน่จริงก็เข้ามา”
ร่างของเราสองคนเหมือนจะถลาเข้ามาปะทะกัน
คนรอบข้างที่เริ่มเห็นว่าเหตุการณ์ตอนนี้ชักจะแย่มากขึ้นทุกทีจึงกรูวิ่งเข้ามาห้ามไว้
“พอซะทีเถอะทั้งสองคน”
แะลแล้วยัยปากหมาก็เริ่มออกโรง
เธอเดินมายืนแทรกกลางระหว่างเราเอาไว้
ดูไปดูมาเหมือนรักสามเศร้าของเราสามคนคล้ายๆกับหนังเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยดู
แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความรัก แต่มันคือการแย่งชิงระหว่างฉันกับพี่เนสต่างหาก
“นท แอปก็แค่มาเป็นผู้จัดการให้พี่เนสเอง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ไม่ นทจะให้เธอเป็นผู้จัดการของนทคนเดียว”
ฉันกล่าวออกไปอย่างดื้อรั้นสายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้ากวนประสาทของเนส โดยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“แล้วทำไมต้องเป็นของนทคนเดียวด้วยล่ะ”
.........
“แอปสำคัญยังไงเหรอ”
.........
“เราก็ไม่ได้ผูกพันอะไรกันมากมาย ก็แค่แอปไปเป็น...”
.........
“ของคนอื่น”
..........
“ก็แค่นั้น”
ตึง!
ฉันปราดสายตามองไปยังร่างสูง
พูดยังงี้แสดงว่ายังไม่รู้อะไร
หนอยยยย ยัยปากหมา เดี๋ยวฉันจะบอกให้เธอรู้
ว่าเธอน้ะ สำคัญแค่ไหน
“ใช่ ก็แค่ั้นั้นแหละ!”
“แต่ไอ้แค่นั้นของเธออ้ะ...”
“มันสำคัญกับฉันนิ”
ฮึก
เสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ น้ำตาเอ่อล่นขึ้นมาที่ขอบตา
“ก็เพราะ ฉันชอบเธอไงเล่า!!!!”
..........................................
พูดไปแล้วล่ะน้ะ ความในใจของฉัน
หลังจากนั้นฉันก็วิ่งหนีออกมาจากตรงนั้นและหนีหน้าอีกคนมาเกือบจะสองอาทิตย์
ไม่ได้โกรธหรอก แต่อายน่ะ พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้คิดอีกทีแล้วมัน...
เขินมาก! >///<
“เจอแล้ว”
เฮือกกก!!
เสียงของร่างสูงดังขึ้นด้านหลัง
สงสัยจะหลบต่อไปไม่พ้นแ้ล้วล่ะ
“นิ วันนั้นอ้ะ...”
....
“หนีออกไปทำไม ฉันยังมีเรื่องจะคุยกับนทอยู่เลยน้ะ”
....
“จะไม่หันหน้ามาคุยกันหน่อยเหรอ”
....
“ก็ได้ ก็แค่จะบอกว่า ฉันก็ชอบเธอน้ะ”
....
....
....
วะ.....ว่าไงน้ะ
ฉันหันขวับไปมองอีกคนอย่างไม่เชื่อตา ร่างสูงยืนยิ้มกว้างอย่างน่ารัก
ฉันเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะประทับมือลงกับใบหน้าอีกคน
“จริงเหรอ”
ร่างสูงพยักหน้าหงึกหงักพลางส่งยิ้มบางมาให้
“งั้นเป็นแฟนกันน่ะ”
ขอให้พยักหน้าด้วยเถอะ!
“อื้มมมมมมมม”
เย้!!!!!!!!!!!!!!!
ฉันฉีกยิ้มกว้างทั่วทั้งใบหน้า กระโดดกอดอีกคนแน่น
“เอ่อ..ยัยปากหมา”
“จริงๆมีเรื่องหนึ่งที่อยากทำมานานแล้วล่ะ แต่ไม่มีโอกาสได้ทำซะที”
“ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว...”
“งั้นนทขอน่ะ..”
จุ้บ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
“นท!!!”
ถ้าถามฉันตอนนี้ว่าความรักมันเกิดขึ้นตอนไหน
ฉันไม่รู้หรอกค่ะ
ฉันคิดว่า บางทีฉันอาจจะตกหลุมรักคนคนนี้ตั้งแต่แรกพบแล้วก็ได้มั้งค่ะ
เพียงแต่ฉันอาจจะไม่รู้ตัว
แต่ถึงยังงั้น...ฉันว่ารักตอนไหนก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ เพราะตอนนี้
สิ่งที่ฉันรู้ก็แค่ว่า...
รักแอปที่สุดเลยยยยยยยยยยย
จบ!!!!!!
ผลงานอื่นๆ ของ ป๊อกกี้รสนม ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ป๊อกกี้รสนม
ความคิดเห็น